อาหารพื้นบ้านภาคเหนือ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ในอดีตบริเวณภาคเหนือของไทยเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนามาก่อน ช่วงที่อาณาจักร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
แห่งนี้เรืองอำนาจ
ได้แผ่ขยายอาณาเขตเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว
และมีผู้คนจากดินแดน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ต่าง ๆ อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนแห่งนี้
จึงได้รับวัฒนธรรมหลากหลายจากชนชาติต่าง ๆ เข้ามา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในชีวิตประจำวันรวมทั้งอาหารการกินด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
อาหารของภาคเหนือ
ประกอบด้วยข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก มีน้ำพริกชนิดต่าง ๆ
เช่น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
น้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง มีแกงหลายชนิด เช่น แกงโฮะ แกงแค นอกจากนั้นยังมีแหนม
ไส้อั่ว แคบหมู
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
และผักต่าง ๆ
สภาพอากาศก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้อาหารพื้นบ้านภาคเหนือแตกต่างจากภาคอื่น ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
นั่นคือ
การที่อากาศหนาวเย็นเป็นเหตุผลให้อาหารส่วนใหญ่มีไขมันมาก เช่น น้ำพริกอ่อง
แกงฮังเล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ไส้อั่ว เพื่อช่วยให้ร่างกายอบอุ่น
อีกทั้งการที่อาศัยอยู่ในหุบเขาและบนที่สูงอยู่ใกล้กับป่า จึงนิยมนำ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พืชพันธุ์ในป่ามาปรุงเป็นอาหาร เช่น ผักแค บอน หยวกกล้วย
ผักหวาน ทำให้เกิดอาหารพื้นบ้าน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ชื่อต่าง ๆ เช่น แกงแค แกงหยวกกล้วย แกงบอน
1. เเกงกระด้าง
2. เเกงบอน
แกงบอน บางแห่งเรียก หลามบอน (รัตนา
พรหมพิชัย, 2542, 479) หลามบอนบางท้องที่ เช่น อำเภอแม่แจ่ม
หมายถึง แกงบอนที่เอาไปใส่กระบอกไม้ไผ่ดิบ แล้วนำไปย่างถ่านไม้ เหมือนข้าวหลาม
ไม่ผัดเครื่องแกงกับน้ำมันพืช (สุมาลี ทะบุญ, สัมภาษณ์,
24 มิถุนายน 2550) การเรียกแกงบอน
บางคนถือเคล็ด ให้เรียกว่า แกงผักหวาน เพราะกลัวว่าจะทำให้คันปาก บางตำรับ ก่อนนำบอนมาแกง
จะแขวนผึ่งลมไว้ 1 คืน ก่อนที่จะนำมาแกง (รัตนา พรหมพิชัย,
2542, 479)
วิธีทำ
4. จอผักกาด
จอผักกาด
เป็นตำรับอาหารที่ใช้ผักกาดกวางตุ้งที่กำลังออกดอก หรือเรียกว่า ผักกาดจ้อน
หรือผักกาดดอก ซึ่งปรุงด้วย เกลือ กะปิ ปลาร้าหรือกะปิ
ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียกหรือมะขามสด ใส่กระดูกหมูด้วยก็ได้
ซึ่งบางแห่งนิยมใส่น้ำอ้อย ลงไปด้วย บางสูตรใส่ถั่วเน่าแข็บ
หรือถั่วเน่าแผ่นย่างไฟ นิยมรับประทานกับพริกแห้งทอด ตัดเป็นท่อน โรยหน้าแกง
หรือรับประทานต่างหาก แล้วแต่ชอบ (รัตนา พรหมพิชัย, 2542, 1790 ; อัมพร
โมฬีพันธ์, สัมภาษณ์, 6 กรกฎาคม 2550)
วิธีการทำ
1.เด็ดหรือหั่นผักทุกชนิด ล้างให้สะอาด พักไว้
2. โขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด 3. เจียวกระเทียมพอเหลือง ใส่เครื่องแกงลงผัดให้หอม ใส่กบสับ 4. ผัดให้เข้ากัน ใส่น้ำเล็กน้อย ใส่ข้าวคั่ว แล้วผัดต่อจนเดือด 5. ใส่ผักสุกยาก ตามด้วยผักที่สุกง่าย คั่วจนผักสุก ปิดไฟ
5. ตำกระท้อน
ตำกระท้อน หรือตำบ่าตืน
หรือตำบ่าต้อง ปรุงด้วยวิธีตำหรือยำได้เช่นเดียวกับมะละกอหรือมะม่วง
ใช้เครื่องปรุงเช่นเดียวกับตำมะม่วง ต่างแต่ตำมะม่วงใช้พริกขี้หนูย่างไฟ
แต่ตำกระท้อนนิยมใช้พริกขี้หนูสด และใส่น้ำปู บางสูตรใช้พริกขี้หนูย่างไฟ
แล้วแต่ชอบ (ประทุม อุ่นศรี, สัมภาษณ์, 25 มิถุนายน 2550)
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10. ตำกุ้ง
ตำกุ้ง ใช้วิธีการปรุงแบบเดียวกับตำชนิดอื่นๆ แต่เพิ่มเครื่องปรุง ได้แก่
ดีปลีคั่ว มะแขว่นคั่ว สะระแหน่ มะนาว ผักไผ่ ผักชีต้นหอม เพื่อดับคาวกุ้ง (ประทุม
อุ่นศรี, สัมภาษณ์, 25 มิถุนายน 2550)
11.น้ำพริกตาเเดง
น้ำพริกตาแดง อ่านว่า น้ำพิกต๋าแดง บ้างเรียก
น้ำพริกแดง เป็นน้ำพริกที่มีลักษณะข้นเหนียว มีส่วนผสมหลักคือ พริกแห้ง ปลาร้า ถั่วเน่าแข็บ
ปลาแห้ง บางสูตรไม่นิยมใส่ถั่วเน่าแข็บ และปลาแห้ง(สุมาลี ทะบุญ, สัมภาษณ์, 27 มิถุนายน 2550)
วิธีการทำ
|
|
|
12. ข้าวจี่
เข้าจี่
นับเป็นของกินเล่นอย่างหนึ่ง
จัดได้อยู่ในประแภทอาหารที่มีวิธีการทำแบบปิ้งหรือย่าง
สมัยก่อนนิยมใช้ข้าวเย็นหรือข้าวที่เหลือจากการกินมื้อเย็นวันก่อนมาปั้น
เอาไม้เสียบตรงกลาง และนำไปปิ้งกับถ่านไฟแดง เมื่อผิวของก้อนข้าวเกรียมเล็กน้อย
ก็ถือว่าข้าวจี่นั้นใช้ได้แล้ว ปกติใช้เป็นอาหารสำหรับเด็กๆ
ที่ตื่นแต่เช้าพร้อมแม่ ช่วยแก้หิวในขณะที่นึ่งข้าวยังไม่สุก (รัตนา พรหมพิชัย,
2542, หน้า 809) ถ้าจะให้มีรสชาติดีขึ้น
ให้นำกระทิผสมเกลือ คลุกกับข้าว ปั้นข้าวและเสียบไม้ นำไปปิ้งให้เกรียมนิดหน่อย
จึงนำมาชุบไข่ แล้วนำไปปิ้งอีกที (ลัดดา กันทะจีน, สัมภาษณ์,
29 มิถุนายน 2550) ในวันเพ็ญเดือนสี่
(ประมาณเดือนมกราคม) เป็นช่วงที่ชาวล้านนามีการทำบุญ เรียกว่า ทานข้าวล้นบาตร หรือทานข้าวใหม่
มักจะมีการนำเข้าจี่และข้าวหลามไปทำบุญ เรียกว่า ทานข้าวจี่ข้าวหลาม (รัตนา
พรหมพิชัย, 2542, หน้า 809)
วิธีการทำ
1.ผสมกะทิและเกลือ
คนให้เกลือละลาย ใส่ลงในชามข้าวเหนียว นวดให้เข้ากัน
2. ปั้นข้าวเหนียว
แล้วเสียบไม้ตรงกลาง 3. นำไปย่างไฟอ่อนๆ ให้เกรียมเล็กน้อย
4. ตีไข่ไก่ให้เข้ากัน นำข้าวจี่ชุปไข่
5. นำไปย่างไฟอ่อนๆ อีกครั้ง ให้เกรียมเล็กน้อย
13.ข้าวบ่ายน้ำมัน
ข้าวบ่าย หมายถึงอาหารประเภทกินด่วนแบบโบราณ มีข้าวเหนียวนึ่งและไส้
ซึ่งอาจจะเป็นปลาทูนึ่ง นำมาย่างไฟ หรือทอด หมูเค็ม จิ๊นแห้ง (จิ๊นเกื๋อ)
นํ้าพริกแดง ผักกาดดอง อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจะใส่ตามชอบก็ได้
ส่วนใหญ่นิยมไส้จิ๊นแห้งกับน้ำพริกตาแดง หรือไส้ปลาทูย่างหรือทอด
นำไปย่างกับเตาถ่าน หรือไม่ย่างก็ได้ อาจเรียกชื่อตามไส้ เช่น ข่าวบ่ายปลาทู
ข้าวบ่ายจิ๊นแห้ง ถ้าใช้ไส้เป็นน้ำพริกผสมกับน้ำมันพืชหรือน้ำมันหมูเล็กน้อย
นำไปย่างไฟ เรียกว่า ข้าวบ่ายน้ำมัน จะใช้นำพริกตาแดง หรือทำน้ำพริก
โดยใช้พริกขี้หนูแห้ง กระเทียม หอมแดง นำมาย่างไฟ โขลกให้ละเอียด ใส่เกลือและน้ำมันพืชหรือน้ำมันหมู
แล้วนำไปย่างไฟ (นงเยาว์ วิริยะ, สัมภาษณ์, 3 กรกฎาคม 2550)
วิธีการทำ
|